ข้อดีข้อเสีย ของมนุษย์เงินเดือน VS ข้อดีข้อเสียธุรกิจส่วนตัว ????

เห็นเพื่อนเพื่อนหลายคนในพันทิพ ทำงานประจำแล้วเบื่อสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิต จากมนุษย์เงินเดือน อยากทำตามฝัน แต่ในมุมมองของผมมนุษย์เงินเดือนก็มีข้อดีอยู่เยอะเหมือนกันนะ เช่นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถง่าย มีรายได้ประจำทุกเดือน ถ้าอยู่บริษัทดีดี โบนัสปีนึง เป็นแสน ผู้บริหารอาจได้เป็นล้าน ส่วนธุรกิจส่วนตัว
ผมเห็นคนแถวบ้านออกมาสู้ ทำตามความฝันก็พอไปได้คับ รายได้น้อยลงกว่าเดิมหน่อย ชีวิตเขาไม่เหนื่อยแต่รายจ่ายยังเท่าเดิม อนาคตอาจสูงขึ้นตามเศรษฐกิจ คงจะจิงอย่างที่ว่า ธุรกิจ ไม่จน ก็ รวย มนุษย์เงินเดือน ถึงไม่รวยอย่างน้อยก็มีกิน เพื่อนเพื่อนว่าแบบไหนคือสิ่งที่เพื่อนเพื่อนต้องการคับ

ข้อดี ของมนุษย์เงินเดือน
– รายได้แน่นอน
– รับผิดชอบในขอบเขต
– มีวันหยุดของตัวเองที่กำหนดได้ตามปฎิทิน
ข้อเสีย ของมนุษย์เงินเดือน
– รวยช้า (ถ้าไม่มีอาชีพเสริม หลังเลิกงานหรทอวันหยุด)
– ขาดแรงกระตุ้น ให้คิดมุมอื่น
– ดักดาน กว่าจะโตในหน้าที่ ใช้ระยะเวลา (หรือต้องเลื่อยขาบนให้ล่วงลงมา)

ข้อดี ของมนุษย์ธุรกิจส่วนตัว
– ถ้าจับธุระกิจดี มีโอกาสรวยโดยไม่รู้ตัว
– ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร
– มีแรงขับเคลื่อนทางความคิดของตัวเองตลอด (เพื่อความอยู่รอด)
ข้อเสีย ของมนุษย์ธุรกิจส่วนตัว
– ถ้าอยู่ในธุระกิจที่คนส่วนใหญ่ทำ ต้องคิดและพัฒนาตัวเองตลอด (เหนื่อย)
– ปัญหาร้อยแปดด้าน
– มีวันหยุดไม่แน่นอน
– (สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์) โอกาสเสี่ยงที่จะล้มสูง ถ้าไม่รู้จักวางแผนให้ดี

เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของงาน2แบบ

ข้อดีของงานประจำ                                                                   ข้อดีของการทำุรกิจเอง
1.ไม่ต้องลงทุน                                                                    1. ทำเท่าไหร่ ได้เท่านั้น ขยันมากได้มาก ขี้เกียจก็ได้น้อย
2.ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งหมด                                                         2. ทุกอย่างอยู่ในcontrol ตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
3.งานเสียหายอย่างมากสุดคือโดนไล่ออก                                      3. สามารถปรับเปลี่ยนกลไก วิธีการทำงานเมื่อไหร่ก็ได้
4.ไม่เครียดมากเหมือนเจ้าของบริษัท                                       4. มีเงินเก็บตั้งตัวได้เร็วกว่า
5.มีวันหยุด มีโบนัส มีสวัสดิการ                                                     5.กำหนดวันหยุด วันพักผ่อนได้ตามใจ

ข้อด้อยของงานประจำ                                                                    ข้อด้อยของการทำุรกิจเอง
1.ผลตอบแทนดูน้อยนิด (หากอยู่ในตำแหน่งงานระดับปฏิบัติการ)                 1.ต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งหมด เครียด เพราะมีภาระรับผิดชอบสูง
2.มีปัญหาจุกจิกกวนใจในที่ทำงาน เนื่องจากทำงานร่วมกันหลายคน              2.รายได้ไม่แน่นอน มีช่วงรุ่งและมีช่วงร่วง
3.ทำงานซ้ำๆเดิมๆไม่มีแรงกระตุ้นในการคิดการทำ สิ่งใหม่ๆ                  3.วันไหนหยุด ป่วย วันนั้นเงินไม่เข้ากระเป๋า ซ้ำเงินยังออกไปด้วย
4.รู้สึกว่าทำเท่าไหร่ก็ไม่รวย ตั้งตัวไม่ได้สักที                                       4.ไม่มีโบนัส ไม่มีสวัสดิการ ต้องดูแลตัวเอง
5.วันหยุดตรงกันทั้งประเทศ จะเที่ยวที่ไหนจะกินอะไรก็ต้องแย่งเขา               5.มีคู่แข่ง การต่อสู้ทางการค้าสูง

 

มนุษย์เป็นสัตว์ ไม่กินเงินเดือน?

 

ปุ่ม2

38 ข้อตกผลึกทางความคิด หลังชีวิตผมตกงานเมื่อปีที่แล้ว ผมตกงาน ชีวิต สารพัดตกต่ำ แม่เป็นมะเร็ง รถโดนทุบ เงินเก็บเหลือ 300 บาททั้งตัว และผมก็เชื่อว่าทุกๆคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือนกลัวการตกงาน กลัวพบเจอประสบชีวิตแบบผม ผมไม่อยากให้การไม่มีงานทำเป็นสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับตัวเองต้องเกิดขึ้นกับคนอื่น วันนี้ผมตกงานใกล้จะครบ 1 ปีแล้ว เป็น 1 ปีที่ผมดิ้นรนหาเงินเพราะกลับไปทำงานประจำไม่ได้ ผมค้นพบว่าการตกงานไม่ได้เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างที่คิดแต่มันคือโอกาสการ เลือกลิขิตเส้นทางสายใหม่ที่งานประจำทำไม่ได้ สนุกดี ผมจึงเอาประสบการณ์มาคั้นเหมือนมะนาวเข้าเครื่องรีดน้ำ และได้คำตอบเป็น 38 ข้อตกผลึกทางความคิด หลังชีวิตผมตกงาน เชิญวิเคราะห์และร่วมเสพได้เลยครับ

1. การจราจรก่อน 9 โมงเช้า คนละเรื่องกับการจราจรหลัง 9 โมงเช้า การจราจรก่อน 6 โมงเย็น คนละเรื่องกับหลัง 6 โมงเย็น
2. วันที่น่าเบื่อที่สุดคือวันเสาร์ อาทิตย์ เพราะเป็นวันที่รถติด ลานจอดรถเต็ม คนเยอะ ต่อคิวแย่งกินข้าว โรงหนังล้น ที่พักเต็ม
3. เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกว่าชีวิตมั่นคง นั่นแสดงว่าชีวิตคุณเริ่มไม่มั่นคงแล้ว
4. สินค้า บริการ หรือที่พัก มักจะลดราคาในวันธรรมดา
5. ถ้าเทียบการเป็นลูกจ้างกับนายจ้างคือการนั่งรถ มันแตกต่างก็แค่ใครเป็นคนขับเท่านั้นแหละ
6. โอกาสที่จะเก็บเงินล้านจากงานประจำโดยไม่ทำอาชีพเสริม ยากมากๆ
7. คนที่บ่นว่า งานห่วย นายจ้างห่วย บริษัทห่วย ทนไม่ได้แล้วอยากจะลาออกไปทำธุรกิจส่วนตัว มักจะไม่ลาออก
8. การทำ เงิน เป็นคนละเรื่องกับการ ทำงาน
9. ความ อุ่นใจ ไม่ได้เกิดจากปริมาณรายได้ แต่เกิดจาก จำนวนเส้นทางรายได้
10. จุดบอดของการทำงานประจำ คือ “เวลามีน้อยเกินไป” จุดบอดของการเป็นนายตัวเองคือ “เวลามีมากเกินไป 

11. คนส่วนใหญ่ขี้เกียจ ถึงได้อยากลาออก แต่การลาออกที่ดีต้องเกิดจากการเห็นโอกาส ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ

12. คำพูดที่อันตรายที่สุดของการพัฒนาตัวเองคือคำว่า “ไม่มีเวลา”

13. สิ่งที่แพงกว่าความรู้ คือประสบการณ์
14. แม่ค้าขายของในตลาดนัด ด้วยรถเข็นโทรมๆ แต่งตัวโทรมๆ รองเท้าโทรมๆ หน้าตาโทรมๆ ซื้อบ้านและรถ 7 ล้านด้วยเงินสด
15. คนเก่งหรือไม่เก่ง ตัดสินกันตอนชีวิตเขาเจอวิกฤต
16. ยุคนี้คือยุคที่การเป็นนายตัวเอง ง่ายกว่าการเป็นลูกจ้าง
17. คุณต้องมีความสามารถทำเงินได้มากกว่า 25,000 เขาถึงได้จ้างคุณในราคา 25,000
18. วิธีอัพเงินเดือนที่เร็วที่สุด คือการเปลี่ยนงานพร้อมๆกับการพัฒนาตัวเอง
19. วิธีเข้าใจพ่อแม่ให้เร็วที่สุด ก็ลองทำงานหนักหาเงินเลี้ยงคนทั้งบ้านโดยที่ตัวเองใช้เงินน้อยๆดูสิ

ปุ่ม2

20. คุณไม่มีวันรู้ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง จนกว่าคุณจะหลังชนฝา
21. เป้าหมาย สำคัญมากที่ทุกคนต้องมี เพราะมันเป็นปลายทางเดียวที่เราวันมองเห็นในวันมืดมิดสิ้นหวัง
22. บนโลกนี้มีวิธีการหาเงินเป็นร้อย เป็นพัน เป็นแสน เป็นล้านวิธี การเป็นมนุษย์เงินเดือนเป็นแค่ 1 ในนั้น
23. สิ่งที่จำเป็นที่สุดของการทำธุรกิจในตอนแรก คือความใจกล้าหน้าด้าน
24. ถ้าคุณได้คุยกับคนที่รวยด้วยล่ำแข้งตัวเองสัปดาห์ละ 1 คน ความคิดคุณจะเปลี่ยนภายใน 1 เดือนหรือเร็วกว่านั้น
25. ครอบครัวสำคัญกว่าองค์กร
26. คนส่วนใหญ่เลือกก้มหัวให้คนที่ให้เงินเขารายเดือน แต่รำคาญคนที่ให้เงินเขาทั้งชีวิต
27. คำดูถูกเป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุด
28. วิธีการเอาคืนคนที่ดูถูกคุณได้อย่างเจ็บแสบ คือการหัวเราะเยอะที่หลังดังกว่า
29. จงเรียนรู้เรื่องการออกแบบ งานขาย และงานตลาดเอาไว้ มันเป็นสามทักษะที่สำคัญที่สุดหลังตกงาน
30. ความรวยวัดกันตรงที่เงินเหลือ ไม่ใช่เงินได้
31. ไม่มีคำตอบว่างานประจำกับทำธุรกิจของตัวเองอันไหนดีกว่า มันก็แค่คนชอบกินซูชิ กับคนชอบกินหมูกะทะทะเลาะกัน
32. บางทีคนรู้มากก็น่ารำคาญกว่าคนไม่รู้ เพราะเขาจะพูดแต่ปัญหาที่ยังไม่เกิดทั้งนั้น
33. อยากทำธุรกิจของตัวเองควรเริ่มตอนไหน คำตอบคือ ตอนนี้เลย
34. นายจ้างเขาจ้างคุณมาทำงาน ไม่ได้เป็นพ่อแม่คุณ ถ้าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตคุณ ก็เป็นความผิดคุณไม่ใช่ความผิดนายจ้าง
35. ทำทั้งๆที่ยังไม่พร้อมนั่นแหละคือความพร้อม
36. คนที่รอความพร้อมมี 2 ประเภท คือพวกวางแผนแล้วทำตามแผน กับพวกวางแผนแบบส่งๆแล้วก็ลืม
37. ความรวยคือนิสัย ไม่ใช่กรรม ลองไปคุยกับคนทำงาน 10 ปีแล้วรวย 10 คนและคนทำงาน 10 ปีแล้วจน 10 คน ดูสิ เดี๋ยวคุณก็เข้าใจเอง
38. ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือศิลปินที่กล้าออกแบบชีวิตตัวเอง

หากบทความนี้ จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ แบ่งปัน ไห้ใครสักคนได้รับรู้ เลยครับ

Cr : วชิรวิทญ์ ศรีดวงมณีฉาย

ปุ่ม2

JoinCoin

 

เตือนภัย!!!เมื่อโจรปลอมเป็นตำรวจแล้วโทรหาคุณ(อ่านซะก่อนที่มันจะเกิดขึ้นกับคุณ)

เตือนภัย !

วันก่อน ผมได้รับโทรศัพท์จากคนโทรที่อ้างว่า เป็นตำรวจปราบปรามยาเสพติด แจ้งว่า ผมเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด โดยอ้างว่า ได้จับตัวคนร้ายค้ายาบ้า ชื่อนายเอนก อุ่นไชยดี เป็นคนจังหวัดกาฬสินธุ์ ค้นบ้านพักเจอบัญชีธนาคารเพื่อใช้ในการฟอกเงิน จำนวน ๑๔ บัญชี หนึ่งในนั้น เป็นบัญชีธนาคารของ นายนิรุจน์ อุทธา ธนาคารกรุงเทพฯ ด้วย และเกรงว่าผมจะเป็นอันตรายเพราะเข้าข่ายผู้มี่สวนร่วมกระทำความผิดด้วย ด้วยความที่ตกใจ ผมบอกว่า ผมไม่เคยมีบัญชีธนาคารกรุงเทพฯ เขาบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีความผิด หากยืนยันว่าไม่มีบัญชีธนาคารกรุงเทพ ขอให้แจ้งด้วยว่าตอนนี้มีบัญชีอะไรบ้าง ตอนนั้นผมยังไม่ได้เอะใจอะไรมาก จึงแจ้งบัญชีของผมทั้งหมด พร้อมยอดเงินไป หลังจากนั้นคนที่อ้างว่าเป็นตำรวจคนนี้ ได้แจ้งว่าจะรายงานต่อสารวัตรเจ้าของคดีให้มาคุยด้วย ผมรอสายประมาณ ๒ นาที ก็มีคนอ้างชื่อว่าเป็นสารมัตรรับผิดชอบคดีนี้ (บอกชื่อ แต่ผมจำไม่ได้) บอกว่าตำรวจเกรงว่าคนร้ายจะใช้ บัญชีของผมเป็นการฟอกเงินอีก จึงขอความร่วมมือให้ผมนำบัญชีกรุงไทย (ซึ่งมีเงินในบัญชี) ไปปรับบัญชีด่วน เพราะจะได้ปรับบัญชีให้เป็นปัจจุบัน ก่อนที่จะทำการอายัติ หากมีการเคลื่อนไหวเงินนอกจากนี้ จึงจะติดตามคนร้ายได้ แล้วจะกันตัวผมเป็นพยาน และพูดว่าหากไปถึงธนาคารแล้ว ให้โทร.แจ้งเขาด้วย เขาจะบอกวิธีทำ .. พอถึงตอนนี้ ผมเริ่มรู้แล้วว่า ไม่ชอบมาพากล จึงบอกว่า ตอนนี้ไม่ว่าง ผมจะเข้าไปตามเรื่อง และแจ้งความเรื่องนี้ ในวันพรุ่งนี้ และขอเข้าพบสารวัตรพรุ่งนี้ พอเอาเข้าจริงตอนนี้เขาเริ่มโมโห เขาขู่ผมว่าหากผมไม่ไปภายใน ๑ ชั่วโมง เขาจะแจ้งธนาคารชาติให้อายัติบัญชีของผมทั้งหมด ผมบอกว่างั้นคงไม่ใช่ ผมยืนยันว่าจะเข้าพบวันพรุ่งนี้ เขาโกรธมาก และบอกไม่คุยแล้ว เขาจะไม่ปกป้องผม แล้วก็เอามือถือให้คนที่อ้างว่าเป็นตำรวจคนแรก ผมเริ่มโมโห จึงต่อว่ากับคนนี้ไปหลายครั้ง มันก็สวนผมจนคุยกันไม่รู้เรื่อง แล้วผมก็วางสายไป ตอนนี้รู้แล้วว่ามันเป็นขบวนการหลอกให้เหยื่อไปธนาคาร แล้วปรับบัญชี หลังจากนั้นคงจะให้โอนเงินให้ด้วยเหตุผลต่างๆ หากเหยื่อตกใจมาก (เพราะเป็นเรื่องรุนแรง) ก็คงจะยอมทำตาม อีกประมาณ ๑๐ นาที มันโทรมาอีกด้วยเบอร์ใหม่ ผมรับสาย มันบอกว่าโทรมาจากธนาคารชาติ และบอกว่าได้รับแจ้งจากกองปราบ หากผมไม่ไปปรับปัญชีภายใน ๑ ชั่วโมง ธนาคารชาติจะอายัติบัตรของผม ผมฟังแล้วแม้มันจะดัดเสียง แต่ผมก็จำเสียงมันได้ จึงบอกมันไปว่า ขอให้หยุดพฤติกรรมเลวๆอีก ไม่งั้นเมิงตายแน่ มันก็รีบวางสาย

ผมไม่เชื่อว่าจะโดนกับตัวเอง ฝากบอกเพื่อนภาคีเครือข่ายๆต่างๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นราชการ มีตำแหน่งหน้าที่ดีๆ อาจถูกเป็นเหยือ่ได้ จึงฝากทุกท่านเป็นข้อเตือนใจนะครับ

ปุ่ม7

AABN

เมือชายหญิงคู่หนึ่งแต่งงานกัน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น!!ร้องให้หนักมาก(บทความน่าอ่าน)

 

sfsx

ผู้ชายกับผู้หญิง เตรียมตัวที่จะแต่งงานกัน ผู้ชายมีเงินหนึ่งแสนห้าหมื่น ผู้หญิงมีเงินหนึ่งแสน
ก่อนที่จะแต่งงาน ผู้ชายนำแสนห้าหมื่นไปดาวน์บ้าน ผู้หญิงนำเงินหนึ่งแสนไปตกแต่งบ้าน และซื้อเครื่องใช้ต่างๆ

หลังแต่งงาน ผู้ชายผ่อนส่งค่างวดบ้านหนึ่งหมื่นทุกเดือน ผู้หญิงเงินเดือนเดือนละเก้าพัน ชายหญิงทั้งสองใช้ร่วมกัน
สามปีต่อมา ผู้หญิงตั้งครรค์ จากนั้นคลอดลูกออกมา ผู้ชายได้เลื่อนตำแหน่งในหน้าที่การงาน เงินเดือนเพิ่มเป็นสามหมื่น

ยามนี้ เด็กต้องการคนดูแล หากจ้างพี่เลี้ยง ต้องจ่ายเดือนละแปดพัน ชายและหญิงทั้งสอง ปรึกษาหารือกัน ตกลงตัดสินใจ ให้ผู้หญิงลาออกจากงาน เพื่ออยู่ดูแลลูก เช่นนี้แล้ว ผู้หญิงจึงกลายเป็นแม่บ้านเต็มตัว
สิบปีต่อมา ผู้ชายประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน รัศมีเปล่งปลั่ง ผู้หญิงคลุกคลีอยู่กับลูก ทุกๆวัน ราศีหม่นหมอง

ยามนี้ ผู้ชายรู้สึกว่า ภรรยาตนไม่สามารถพาเข้าสังคมอีกแล้ว สิ่งยั่วยวนภายนอกก็ช่างร้อนแรงเย้ายวนใจ สุดท้ายเลยมีภรรยาน้อย
หลังจากภรรยารู้เรื่องเข้า ทะเลาะ วิวาท สุดท้าย เศร้าเสียใจ ผู้ชายและผู้หญิงเตรียมตัวหย่า

ตามคำอธิบาย ในตัวบทกฎหมาย ว่าด้วยการสมรส “บ้าน” ผู้ชายได้ซื้อก่อนแต่งงานผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ ผู้หญิงไม่ยอม บอกว่า ” พวกเราทั้งสองช่วยกันผ่อนค่างวด ”
ทนายถามว่า ” เธอมีหลักฐานที่ร่วมกันผ่อนส่งค่างวดหรือไม่?” ผู้หญิงตอบว่า “ไม่มี” ..ทุกเดือนจะหักจากบัญชีเงินเดือนของผู้ชายโดยตรง

ผู้หญิงบอกอีกว่า “ลูก..ฉันเป็นคนคลอดเอง ฉันเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มากับมือ ลูกต้องตกเป็นของฉัน ”
ทนายพูดว่า “ลูก..จะตกเป็นของใคร เราจะดูว่า ใครมีความสามารถที่จะเอื้อประโยชน์ให้แก่เด็กมากที่สุด เธอ..ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ไม่มีบ้าน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของเด็ก ทางศาลจะตัดสินให้ตกเป็นของผู้ชาย”

ยามนี้ ผู้หญิง..ไม่มีบ้าน ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีลูก เธอสิ้นหวังแล้ว โลกของเธอล่มสลายไปแล้ว ส่วนผู้ชาย เริ่มต้นชีวิตใหม่ของของเขา
ผู้หญิง… เธอยังกล้าที่จะนำเอาความสุขของทั้งชีวิต ฝากฝังไว้กับคนอื่นอีกหรือไม่ ?
“บนโลกใบนี้ ไม่มีใครให้คุณพึ่งพิงได้ตลอดชีวิต แม้แต่เงาของเธอเอง ก็จะห่างหายไปจากเธอ ในความมืด”

รู้อย่างนี้แล้ว ยังจะรอพึ่งพิงใคร

ที่มา:Bong Ontour

ปุ่ม7

AABN

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดังไปทั่วโลก !! พระออกบิณฑบาตรทุกเช้าเอาข้าวมาเลี้ยงเด็กกำพร้า !!

• ดังไปทั่วโลก !! พระออกบิณฑบาตรทุกเช้าเอาข้าวมาเลี้ยงเด็กกำพร้า !! •

เรื่องราวสุดสะเทือนใจที่แชร์กันในโลกโซเซียลในหลาย ๆ ประเทศคือ พระรูปหนึ่งกำลังควานข้าวออกมาจากก้นบาตรแล้วเทลงกาละมัง ท่ามกลางเด็ก ๆ ที่หิวโหย ซึ่งเด็กพวกนี้เป็นเด็กเขมรกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ถูกนำมาทิ้ง จึงต้องมาอาศัยข้าววัดที่พระรูปนี้ออกบิณฑบาตรมาให้

โดยทุกเช้าพระหนุ่มรูปดังกล่าวจะเดินไกลไม่ต่ำกว่า 10 กิโล เพื่อออกไปบิณฑบาตร และนำอาหารมาเลี้ยงเด็ก ๆ กำพร้าเหล่านี้ มีหลายคนถามเหตุผลว่าทำไมพระรูปนี้ถึงมีน้ำใจกับเด็ก ๆ ได้มากขนาดนี้ เพราะตัวพระเองก็ไม่ใช่ว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า คำตอบที่ได้รับคือ ..

พระรูปนี้ก็เคยเป็น “เด็กกำพร้า” เหมือนกัน!!

นี้แหละคือพระผู้ไห้ที่แท้จริง สาธุๆ

ที่มา:Mu Lae

 

ปุ่ม2

AABN

นี้แหละคือเหตุผล ที่ทำให้คุณต้องยอมแพ้(บทความน่าอ่าน)

มีแม่ทัพคนหนึ่งเล่นหมากล้อมเก่งมาก
ไม่ค่อยมีคนเล่นชนะได้
วันหนึ่ง. แม่ทัพออกรบผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เห็นบ้านเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีป้ายติดว่า..
“เล่นหมากล้อมอันดับ 1 ของประเทศ”
แม่ทัพไม่เชื่อจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้านและเล่นด้วย
ปรากฎว่า.. เจ้าของบ้านแพ้ ทั้ง 3 กระดาน
แม่ทัพหัวเราะ “555 แกเอาป้ายลงได้แล้ว”
แล้วแม่ทัพก็ไปออกรบด้วยความดีใจ
ไม่นาน.. แม่ทัพรบชนะกลับมา
ผ่านมาที่เดิม ก็ยังเห็นป้าย
แขวนอยู่ที่บ้านหลังเดิม
แม่ทัพจึงเข้าไปหาเจ้าของบ้าน
และท้าดวลอีก ปรากฎว่าครั้งนี้
แม่ทัพแพ้ทั้ง 3 กระดาน
แม่ทัพประหลาดใจมาก
ถามเจ้าของบ้านว่าเพราะอะไร
เจ้าของบ้านตอบว่า
“ครั้งก่อน ท่านมีภารกิจออกรบ
ข้าน้อยจะไม่ทำท่านเสียกำลังใจ
ท่านหมดขวัญกำลังใจไม่ได้
แต่ครั้งนี้ ท่านชนะกลับมา
ข้าน้อยก็ไม่ต้องออมมือแล้ว”
คนที่เก่งจริงในโลกนี้ คือ..
ชนะได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชนะ
มีใจกว้างขวาง ก็พอ
การใช้ชีวิต ก็เหมือนกัน
“รู้ ไม่จำเป็นต้องพูด
ไม่พูดใช่ว่า จะไม่รู้”
ต่อหน้าคนใจแคบ คุณต้องใจกว้าง
ถ้าทำใจกว้างไม่ได้ ก็ต้องแกล้งโง่

บทความนี้ อยากให้อ่าน

แชร์ให้เพื่อนๆด้วยครับ

ที่มา F:วิเชษฐ์ นิลเขาปีบ

ปุ่ม2

AABN

17 วิธีคิดของเหล่าเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ได้ยินคำว่า “เศรษฐี” เชื่อได้เลยว่าใครๆก็อยากเป็นเศรษฐีกันทั้งนั้น แต่ว่าจะทำอย่างไรล่ะ ถึงจะได้เป็นเศรษฐีกับเขาบ้าง เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง วันนี้เรานำเอาวิธีคิดของเหล่าเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มากฝากครับ มีอะไรบ้างไปดูกันเลย

1. คนเราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้
คนรวยหรือคนที่ประสบความสำเร็จมักคิดว่า เราสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ โดยไม่ต้องรอให้โชคชะตา ดวง เทวดา สรวงสวรรค์ หรือสิ่งที่เรามองไม่เห็นมาเป็นผู้กำหนดตัวเอง เช่น การซื้อล็อตเตอรี่เพื่อหวังรวยทางลัด หรือการพึ่งหมอดูเพื่อทำนายโชคชะตา เป็นต้น แต่ในทางกลับกัน คนที่ยากจนมักจะโทษโชคชะตา สิ่งแวดล้อม หรือบุคคลรอบๆข้างว่า เป็นต้นเหตุแห่งความยากจนหรือความล้มเหลวของตน หรือมักคิดว่าทรัพย์สินเงินทองไม่ใช่เรื่องสำคัญเป็นเพียงของนอกกาย ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เมื่อใดที่คิดเช่นนี้สติปัญญาที่จะใช้ขวนขวายหาเงินหาทองก็ย่อมหมดไปเป็นธรรมดา ในขณะที่คนรวยกลับคิดเสมอว่า เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็ต้องสร้างเหตุและปัจจัยมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ถ้ามัวแต่รอปัจจัยภายนอกแล้ว เมื่อไรสิ่งเหล่านั้นจะเกิดดอกและออกผล

2. มีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน
คนรวยคนประสบความสำเร็จจะกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนว่า ตนเองจะมีเงินเท่าไร ในอีกกี่ปีข้างหน้า แต่คนทั่วไปมักจะคิดว่า ขอแค่มีเงินเดือนไว้แค่พอใช้ในแต่เดือนก็เพียงพอแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จมักมองการณ์ไกล มีความฝัน มีจินตนาการ และกล้าที่จะลงมือกระทำเพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของตน

3. เกิดมาแล้วต้องรวยและประสบความสำเร็จ
คนรวยจะคิดอยู่เสมอว่า เกิดมาแล้วต้องรวย ไม่ว่าจะต้องลงทุนลงแรงขนาดไหนก็ตาม ถึงแม้ตอนเกิดเราจะไม่สามารถเลือกได้ว่าเกิดมาแล้วจะรวยเลย แต่เราสามารถกำหนดชีวิตของเราเองได้ว่าต้องการรวย ต้องการประสบความสำเร็จมากขนาดไหน แต่คนทั่วไปจะคิดเพียงแค่ว่า อยากจะร่ำรวยแต่กลับไม่ขยันทำงาน เมื่อเจอปัญหาอุปสรรคก็มักจะบ่นและท้อถอยเพราะไม่ชอบทำงานหนัก

4. คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก
คนรวยจะคิดเสมอว่า ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ทั้งนั้นขอแค่เราเห็นโอกาสแล้ว ลองลงมือทำดูเท่านั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นยากเพียงใดก็ตามแต่ และจะคิดหาหนทางในการพัฒนาสินค้าและบริการของตน เพื่อช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่คนหมู่มาก

5. มองหาโอกาสต่างๆ และไม่เสียเวลาไปกับปัญหาที่เกิดขึ้น
เมื่อเกิดปัญหา คนรวยจะพยายามหาโอกาส หรือช่องทางที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ไม่ตีโพยตีพายหรือหมดหวังไปกับปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น คนที่ประสบความสำเร็จจะนิ่งสงบ เผชิญหน้ากับปัญหาอย่างมีสติ คิดพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วลงมือกระทำ และไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะว่าคนที่ประสบความสำเร็จรู้ว่าเวลามีความหมายต่อให้รวยแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อเวลาได้

ปุ่ม2

6. ชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จเพื่อนำแนวความคิดมาปรับใช้ในชีวิตของตนเอง
คนรวยและคนที่ประสบความสำเร็จ สนใจและชอบที่จะศึกษาว่า คนที่เขาประสบความสำเร็จนั้นมีแนวคิดอย่างไรและทำอย่างไรถึงได้ร่ำรวยขนาดนั้นและนำมาเป็นไอดอลหรือเป็นแนวคิดในแก่ตัวเอง มากกว่าการรู้สึกคิดอิจฉาริษยาในความสำเร็จของผู้อื่น

7. ชอบคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดี
คนรวยจะชอบคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดี เพราะเขาเหล่านั้นจะมีแนวความคิด คำพูด และการกระทำที่เต็มไปด้วยความหวัง คนที่มองโลกในแง่ดีจะมองสามารถเห็นโอกาสในวิกฤตเสมอ และมักจะมองปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนคนที่มองโลกในแง่ร้ายจะชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่และมองปัญหาว่า เป็นสิ่งที่จะนำมาซึ่งความหายนะ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เกิดเป็นความท้อถอย ความอึดอัด จนต้องระบายความรู้สึกดังกล่าวออกมาในรูปของการกระทำต่างๆ เช่น การก้าวร้าว ด่าทอ ติฉินนินทา อิจฉาริษยา หรือคอยจับผิดผู้อื่น เป็นต้น การมองโลกในแง่ร้ายมากเท่าไร ยิ่งทำให้คิดอะไรไม่ออก ชีวิตก็ย่อมจะตกอยู่ในวังวนของความยากจนข้นแค้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น คนที่ร่ำรวยจึงเลือกที่จะไม่สุงสิงกับคนที่มองโลกในแง่ร้าย เพราะจะเป็นการเพาะเชื้อแห่งการมองโลกในแง่ร้ายเข้าไปในจิตใจโดยไม่รู้ตัว

8. พร้อมที่จะนำเสนอสินค้าและบริการของตัวเอง
คนรวยพร้อมที่จะนำเสนอสินค้าของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้อยู่เสมอ เพราะพวกเขาเชื่อว่า การรอคอยให้ผู้อื่นเข้ามาสอบถามถึงสินค้าของเรานั้นเป็นการเสียเวลา คนรวยและประสบความสำเร็จมักอยู่กับปัจจุบัน พวกเขาจะไม่จมปลักอยู่กับเรื่องในอดีต เพราะเขาตระหนักดีว่า ทุกอย่างในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และหากเขาหลงชื่นชมอยู่กับความสำเร็จในอดีต เขาก็จะประมาท หรือถ้าเขาหวาดกลัวหรือผิดหวังไปกับความล้มเหลวในอดีต เขาก็จะไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดอีกต่อไป ฉะนั้น พวกเขาจึงไม่สนใจกับเรื่องในอดีตมากนัก แต่จะสนใจว่า ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้นมากกว่า

 

9. มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา
คนรวยและประสบความสำเร็จจะมองปัญหาที่เกิดขึ้น เสมือนเครื่องมือที่ช่วยเสริมสร้างสติปัญญาให้เฉียบคมมากขึ้น และเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความรู้ เพิ่มความสามารถให้แก่ตนเองอีกต่างหาก ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาที่ผ่านมานั้นเอง จะเป็นกำลังใจให้พวกเขากล้าที่จะทำในสิ่งใหม่และท้าทายมากยิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามทุกๆ ปัญหาที่เขาต้องเผชิญนั้น พวกเขาจะคิดมาตรการเพื่อการป้องกันมิให้ปัญหานั้นเกิดซ้ำอีก

10. มีความเชื่อมั่นในตัวเอง
คนที่ร่ำรวยจะรู้สึกเชื่อมั่นในศักยภาพของตนเอง พวกเขาจะรู้ว่าตัวเองสามารถทำอะไรบ้าง มีความสามารถทำได้แต่ไหน และจะลงมือทำอย่างสุดความารถของพวกเขาเองด้วยความเชื่อมั่น

ปุ่ม2

11. ประเมินผลสำเร็จจากผลงานเป็นหลัก
คนรวยจะประเมินผลงานจากสินค้าที่ขายได้หรือผลกำไรของบริษัท แต่คนทั่วไปมักจะประเมินผลงานจากแรงงานที่ตัวเองเสียไป นอกจากนั้น คนทั่วไปมักเลือกที่จะเป็นลูกน้องในองค์กรที่มีความมั่นคง เพื่อที่ว่าตนเองจะได้ไม่ต้องลงทุนหรือมีความเสี่ยงในการทำธุรกิจมากนัก ในทางกลับกัน คนรวยจะทำงานในองค์กรสักระยะหนึ่งเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และหาโอกาสเปิดกิจการหรือมีธุรกิจเป็นของตนเองต่อไป

12. คิดหวังผลสองด้าน
คนรวยคิดว่า คนเราสามารถประสบความสำเร็จ มีความสุข และมีเวลาให้กับครอบครัวได้พร้อมๆกัน แต่คนทั่วไปกลับคิดว่า การที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องส่วนตัวเก็บไว้ทีหลัง การทำงานต้องเคร่งเครียด เอาจริงเอาจัง จนทำให้ละเลยคนที่รอบข้างไปหมด ละเลยสุขภาพของตัวเอง นอกจากนั้น คนรวยคิดว่า ยิ่งมีเงินทองมากขึ้น ยิ่งช่วยเปิดโอกาสให้ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคมได้มากยิ่งขึ้น แต่คนทั่วไปกลับคิดว่า การจะร่ำรวยได้จะต้องเกิดจากการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาจึงมองว่าคนรวยคือคนที่ไม่ดี

 

13. คิดว่าตนเองมีราคาเท่าไร
คนรวยจะประเมินมูลค่าของตนเองจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ทั้งหมด หักลบกับหนี้สินทั้งหลาย ฉะนั้น คนรวยจึงคิดที่จะนำเงินไปลงทุนมากกว่านำไปใช้จ่ายจนหมด เพราะการลงทุนถือว่าเป็นการเพิ่มพูนรายได้โดยที่มูลค่าเดิมก็ยังคงอยู่ ในทางกลับกัน เมื่อมีเงินทองคนทั่วไปมักคิดที่จะจับจ่ายใช้สอยหรือไปท่องเที่ยวมากกกว่าการเก็บออมหรือนำไปลงทุน

14. รู้จักวางแผนในการจับจ่ายใช้สอย
คนรวยจะวางแผนเก็บออมเงินในระยะยาวมากกว่าการนำเงินไปใช้ มีการคิดตลอดเวลาก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหรือเปลี่ยนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และในแต่ละวันแต่ละเดือน จะมีการจดบันทึกค่าใช้จ่ายไว้อย่างสม่ำเสมอ เพราะจะทำให้เรารู้ว่า เราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง แล้วสิ่งนั้นจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะช่วยให้อนาคตเราจะไม่ขัดสนและลำบาก

15. รู้จักใช้เงินอย่างฉลาด
คนรวยจะรู้จักบริหารเงินให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ไม่ใช่ว่าหาเงินมาได้มากเท่าไหร่ ก็ใช้ไปเท่านั้น หรือมี 100 บาทแต่ใช้ 500 บาทแบบนี้เป็นต้น พวกเขาจะรู้จักหาวิธีที่สามารถช่วยทำให้เงินงอกเงย และช่วยเพิ่มพูนทรัพย์ให้พวกอย่างต่อเนื่อง รู้จักลงทุนโดยใช้ความคิดมากกว่าการใช้แรง

ปุ่ม2

16. ไม่กลัวความล้มเหลว
คนรวยเมื่อเจอกับความล้มเหลวจะไม่ย่อท้อหรือหมดหวัง แต่จะตั้งสติ อดทน และพยายามหาหนทางแก้ไขและมองความล้มเหลวที่เกิดขึ้นเหล่านี้นี่แหละ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เกิดแรงกระตุ้น หรือเป็นตัวพัฒนาความรู้ ความสามารถของตัวเองมากกว่า แต่คนทั่วไปเมื่อเจอความผิดพลาด อุปสรรค ปัญหา หรือความล้มเหลวจะยอมแพ้ รู้สึกท้อ ผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้น และคิดว่าตนเองหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วในชีวิต และจะหยุดการพัฒนาตัวเองโดยจมอยู่แต่กับความล้มเหลว

17. เรียนรู้ตลอดเวลา
คนรวยจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลาและไม่เคยคิดว่าตนเองเก่งแล้ว แต่คนทั่วไปจะคิดว่า ประสบการณ์จะเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสามารถจึงทำให้หลงคิดว่าตนเองเก่งแล้ว เพราะผ่านประสบการณ์การทำงานมาหลายปี ฉะนั้น จึงมักไม่ยอมรับการสั่งสอนหรือคำแนะนำจากคนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่มีประสบการณ์น้อยกว่า เพราะถือว่าเป็นการเสียหน้าเป็นอย่างมาก ฉะนั้นอย่าลืมการเรียนรู้ตลอดเวลา ทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้วเข้าไว้ เพื่อจะได้เรียนรู้ พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา

AABN

 

ที่มาข้อมูล : drboonchai.com

30 สิ่งที่คุณควรเลิกทำกับตัวเองเสียที(อยากให้อ่านเพื่อชีวิตที่ดีกว่า)

30-stop-doing-to-yourself

ลองมาดูกันครับว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้อยู่หรือเปล่า? ถ้าใช่ หยุดทำมันเถอะครับ ^^

1. หยุดใช้เวลากับคนแย่ๆ

คบคนพาล พาลไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เรารู้จักสุภาษิตนี้กันมาแต่ไหนแต่ไร เรารู้ดีว่าคนดีๆ มักจะสอนและทำให้เราได้ใช้ชีวิตดีๆ เป็นพื้นฐาน ฉะนั้นแล้ว คุณควรรีบใช้ชีวิตอยู่กับคนดีๆ แทนที่จะไปอยู่ในสังคมของคนแย่ๆ ที่ทำให้ชีวิตของคุณไม่ไปไหน ยิ่งในเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าถ้าคนนั้นเขาต้องการคุณจริง เขาจะมีที่ให้คุณโดยที่คุณไม่ต้องพยายามหรือต่อสู้เพื่อให้ได้มันมา อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่เห็นค่าของคุณ ยังมีคนอีกเยอะที่ให้ความสำคัญกับตัวคุณ จำไว้ว่าคนที่อยู่เคียงข้างคุณเวลาที่คุณเวลาที่แย่และชี้ทางให้คุณได้ดีคือคนที่เป็นเพื่อนแท้ และคือคนที่คุณควรให้ความสำคัญต่างหาก

2. หยุดวิ่งหนีปัญหาของตัวเอง

การเอาแต่หนีปัญหาไม่ใช่ทางแก้ปัญหาแต่อย่างใด หากแต่เป็นแค่การยืดเวลาทรมานกับปัญหาออกไปเท่านั้น การที่คุณจะก้าวหน้าและไปสู่ชีวิตที่ดีได้ ก็คือการที่คุณก้าวข้ามอดีต ต่อสู้และเอาชนะกับปัญหาให้ได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหาบางอย่าง บางปัญหาต้องใช้เวลา แต่มันก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะปฏิเสธหรือมองข้ามมัน การเผชิญหน้ากับปัญหาอาจจะทำให้เราต้องทุกข์ ต้องเจ็บปวด ต้องร้องไห้ แต่นั่นก็คือบทเรียนของชีวิตที่เราต้องเผชิญหน้าและเติบโตขึ้น และมันคือสิ่งสำคัญของหล่อหลอมชีวิตเราให้อยู่กับความเปลี่ยนแปลงได้

3. หยุดโกหกตัวเอง

การโกหกตัวเองมีแต่ทำให้คุณไม่อยู่กับความเป็นจริง และเอาจริงๆ แล้วตัวคุณเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไรเพียงแต่ไม่ยอมรับมัน ยิ่งคุณโกหกตัวคุณเองก็มีแต่ทำให้คุณไม่สามารถอยู่กับชีวิตจริงได้ การเผชิญหน้ากับความจริงเป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่นั่นก็คือขั้นตอนสำคัญที่ทำให้ชีวิตของเราก้าวต่อไป

4. หยุดผลัดวันประกันพรุ่ง

ชีวิตคุณมีอะไรหลายๆ อย่างที่คุณควรได้ทำ อย่าเอาเวลาที่คุณมีไปทำอย่างอื่นจนลืมทำอะไรให้ตัวเอง การช่วยคนอื่นเป็นสิ่งที่ดีแต่จะดีมากถ้าคุณไม่ลืมเป้าหมายของัวเองและเติมเต็มให้กับสิ่งที่อยากทำด้วย

5. หยุดพยายามเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณเอง

หลายๆ ทีเราอยากเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ทำได้เสมอไป ตัวตนบางอย่างไม่ได้เป็นสิ่งที่เราเกิดมาเพื่อเป็น และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องเป็น ในทางกลับกัน การที่คุณพยายามเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวคุณจะเป็นเพียงการเสียเวลา ฝืนตัวเอง และเสียโอกาสที่จะพัฒนาส่วนเด่นของคุณเองอีกต่างหาก นอกจากนี้แล้ว การพยายามเป็นที่รักของทุกคน พยายามเอาใจทุกคนด้วยการเปลี่ยนตัวเองนั้นเป็นความคิดผิดๆ ที่จะทรมานตัวคุณเองเปล่าๆ เป็นตัวของคุณเองและให้คนอื่นภูมิใจหรือยอมรับในตัวตนที่แท้ของคุณดีกว่า

6. หยุดยึดติดกับอดีต

อดีตมีไว้ให้เรียนรู้ แต่ไม่ใช่ให้จมอยู่กับมัน ชีวิตคุณจะไม่มีวันไปไหนถ้ายังยึดติดกับเรื่องเดิมๆ คิดว่าชีวิตมันต้องเป็นแบบเมื่อวาน ความสำเร็จมันต้องเป็นแบบครั้งก่อน คุณกำลังอยู่กับ “วันนี้” และใช้ชีวิตเพื่อไปสู่ “พรุ่งนี้” ไม่ใช่การกลับไปใช้ชีวิตใน “เมื่อวาน”

7. หยุดกลัวที่จะทำผิด

ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากให้เกิดกัน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องราวสำคัญที่ทำให้คนประสบความสำเร็จ เพราะมันทำให้เขารู้ว่าอะไรดีและไม่ดี การอนุญาตให้ตัวเองได้พบกับความผิดพลาด (บ้าง) คือการเปิดใจให้กล้าลอง ได้ทดสอบหลายๆ อย่าง การลองแล้วผิดพลาดมันก็ยังดีเสียกว่าคุณไม่ได้ลองทำอะไรเลย คุณที่ประสบความสำเร็จก็ล้วนพบกับความผิดพลาดมาแล้วทั้งนั้น ถ้าคุณอยากจะไปให้ไกลขึ้น คุณก็ต้องกล้าที่จะพบกับความผิดหวังบ้าง แต่ถ้าคุณไม่กล้า คุณก็วนอยู่กับเรื่องเดิมๆ นั่นแหละ

8. หยุดโทษตัวเองกับความผิดก่อนๆ

คนเราผิดพลาดกันได้ แต่ไม่ใช่ว่าความผิดพลาดมันจะเกิดขึ้นตลอดไป ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นในอดีต ไม่ใช่ปัจจุบัน คุณอาจจะเสียใจกับความผิดในอดีตได้ แต่อย่าเอาแต่โทษตัวเองจนไม่ได้ทำอะไรใหม่ จำไว้ว่าความผิดพลาดมันคือการปูโอกาสให้เจอสิ่งที่ใช่ การที่เราเคยคบกับคนที่ไม่ใช่ ก็เพื่อให้วันหนึ่งเราได้เจอคนที่ใช่ ความผิดพลาดในอดีตก็ทำให้เรารู้ว่าสิ่งที่ถูกคืออะไร

9. หยุดคิดที่จะเอาแต่ซื้อความสุข

ความสุขไม่ได้มาจากการใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย จริงอยู่ว่าคุณอาจจะมีของอยากได้ที่ราคาแพง แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่างของความสุข อันที่จริงแล้วยังมีความสุขอีกมากมายที่คุณได้มาฟรีๆ อย่างเช่นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ หรือการทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

ปุ่ม2

10. หยุดคาดหวังความสุขจากคนอื่น

ประโยคประเภท “ชั้นมีความสุข เมื่อเธอมีความสุข” อาจจะฟังดูสุดโรแมนติค แต่ถ้าตัวคุณเองยังไม่มีความสุขกับตัวเองแล้ว คุณจะไปมีความสุขกับคนอื่นได้ยังไง ฉะนั้นแล้ว ความสุขเริ่มต้นจากตัวคุณเองก่อน ความคิดประเภท “ชั้นจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีเธอ” มันทำให้คุณต้องไปพึ่งหวังกับคนอื่นและต้องทุกข์ถ้าไม่มีอีกฝั่งทั้งที่จริงคุณเองก็สามารถสุขได้ด้วยตัวเองแต่ไหนแต่ไรแล้ว ฉะนั้น สร้างตัวเองให้มั่นคงก่อน แล้วคุณแชร์ความสุขนั้นกับผู้อื่นดีกว่าครับ

11. หยุดไม่ทำอะไรสักที

หลายคนเป็นประเภทกลัวจะสร้างปัญหา เลยไม่ลงมือทำอะไรสักอย่าง แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนด้วยเช่นกัน ชีวิตคุณเกิดมาพร้อมกับเวลาและโอกาสมากมาย ใช้เสียให้คุ้ม ดูสถานการณ์รอบตัวคุณแล้วคิดเสียว่าคุณจะทำอะไรได้บ้างเพื่อจะพาชีวิตก้าวไปข้างหน้า แล้วก็เริ่มลงมือทำได้แล้ว

12. หยุดคิดว่าคุณไม่พร้อม

ไม่มีใครพร้อม 100% ตอนที่ได้รับโอกาส เพราะเอาเข้าจริงๆ การนิยามว่า “พร้อม” นั้นมันไม่มีคำนิยามที่เป๊ะๆ หรอก แถมเอาเข้าจริงๆ มันเป็นสิ่งที่คุณคิดไปเองทั้งนั้น โอกาสดีๆ ในชีวิตมันมาพร้อมกับการทำให้คุณก้าวไปสู่สิ่งที่คุณยังไม่เคยได้ทำ สิ่งที่คุณยังไม่มีประสบการณ์ ฉะนั้นมันไม่มีทางที่คุณจะพร้อมอยู่แล้ว มันอยู่แต่ว่าคุณจะยอมทำมันไหมต่างหาก

13. หยุดไปมีความสัมพันธ์ด้วยเหตุผลผิดๆ

การมีความสัมพันธ์ใดๆ นั้นเป็นเรื่องที่ต้องคิดและพิจารณากันดีๆ ชีวิคคู่ในหลายๆ ครั้งไม่ได้นำไปสู่เรื่องดีๆ แถมยังทำให้ชีวิตย่ำแย่เสียอีกต่างหาก ผมมักพูดเสมอบ่อยๆ ว่าถ้ามีคู่แล้วไม่ดี ก็อยู่เป็นโสดเสียดีกว่า อย่าไปคิแบบนิยายว่ารักคือสิ่งสวยงามที่จะทำให้ชีวิตของคุณมีแต่สีชมพู เราเห็นกันมาเยอะแล้วว่าเวลารักขมมันทำให้ชีวิตแต่ละคนย่ำแย่แค่ไหน ถ้าจะมีความรักอะไรนั้น ให้มีวันที่คุณพร้อมจะมี ไม่ใช่มีเพราะคุณแค่อยากจะหายเหงา

14. หยุดคิดว่าจะเป็นโสดแค่เพราะรักครั้งที่แล้วมันแย่

การมีความรักที่ผิดพลาดมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่มันไม่ใช่ว่ารักครั้งใหม่มันจะต้องแย่เหมือนรักครั้งก่อน คุณที่คุณเจออยู่อาจจะเป็นคนที่ “ใช่” และทำให้ชีวิตของคุณดีก็เป็นไปได้ ฉะนั้นแล้วเปิดโอกาสให้ตัวเองบ้าง ไม่ใช่ปิดประตูเพราะเอาแต่คิดว่า “ผู้ชายทุกคนมันเลว” หรือ “ผู้หญิงทุกคนนั้นแย่” (ไอ้ที่แย่น่ะมันแค่คนบางคนที่คุณเจอ หรือบางทีอาจจะเป็นที่ตัวคุณเองต่างหากเล่า)

15. หยุดแข่งกับคนอื่น

การเทียบกับคนอื่นมีแต่จะทำให้คุณรู้สึกอคติกับตัวเองเพราะต้องมานั่งกังวลว่าคนอื่นเขาจะดีกว่าคุณเมื่อไร เขาจะนำคุณเมื่อไร มันกลายเป็นเป้าหมายชีวิตของคุณไปผูกอยู่กับคนอื่นแทนที่คุณจะมานั่งสนใจกับตัวคุณเอง ฉะนั้นแล้ว ตั้งเป้าหมายในการแข่งกับตัวคุณเอง เอาชนะตัวเองในวันก่อนๆ ให้ได้คือสิ่งที่คุณควรจะคิดมากกว่านะครับ

16. หยุดอิจฉาคนอื่น

การอิจฉาเป็นกิเลสที่เผาตัวคุณอย่างไม่มีวันจบ ยิ่งคุณอิจฉาคนอื่นมันก็จะยิ่งทำให้คุณทรมานมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้คุณวนเวียนแต่กับการคิดไม่ดีกับคนอื่น คิดแต่จะทำให้คนอื่นแย่กว่าตัวเอง ถ้าคนอื่นดีกว่าคุณ คุณก็โทษตัวเองไปในตัว แล้วมันนำไปสู่อะไรกันล่ะ? หยุดอิจฉาคนอื่นแล้วมาสนใจตัวคุณเองดีกว่า นอกจากไม่ทุกข์แล้ว คุณอาจจะรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นด้วย

17. หยุดโทษตัวเอง

อย่างที่บอก (อีกแล้ว) ว่าคนเราผิดพลาดกันได้ คุณเองก็ผิดได้ เจ้านายคุณก็ผิดได้ เพื่อนคุณก็ผิดได้ อย่าเอาแต่คิดว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะคุณ สิ่งต่างๆ มันมีปัจจจัยที่มาเกื้อหนุนให้ “เกิดขึ้น” ไม่ใช่แค่เพราะคุณคนเดียว เรียนรู้จากความผิดพลาดและยิ้มให้กับตัวเองแทนที่จะเอาแต่โทษตัวเองไปเรื่อยๆ

18. หยุดอาฆาตแค้น

นอกจากความอิจฉาแล้ว การอาฆาตแค้นเป็นเรื่องที่ชีวิตคุณไม่ควรเอามาถือไว้เลยสักนิด การเกลียดคนอื่นมีแต่จะทำให้ชีวิตคุณแย่และทำร้ายตัวคุณเองมากกว่าที่คนซึ่งคุณเกลียดทำกับคุณเสียอีก การให้อภัยหรือปล่อยมันไปเป็นเรื่องไม่ง่ายแต่นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้คุณหลุดพ้นจากวังวนที่ทำให้ชีวิตคุณแย่ คุณต้องกล้าที่จะบอกว่า “ฉันจะไม่ให้เธอมาทำลายความสุขของฉันอีก” แล้วก็อย่าไปสนใจมันอีก แค่นั้นแหละครับ

19. หยุดให้คนอื่นมาฉุดให้คนลงไปอยู่กับพวกเขา

หลายๆ ครั้งที่คุณรู้ว่าชีวิตคุณมีดีกว่าที่จะตอบโต้หรือลงไปอยู่ในมาตรฐานเดียวกับคนบางกลุ่ม ฉะนั้นก็อย่าเอาตัวเองลงไปอยู่ในระดับที่ต่ำลง เหมือนบัว 4 เหล่าที่คุณไม่ควรลงไปยุ่งและทำตัวแบบเดียวกับบัวที่อยู่ต่ำกว่าคุณนั่นแหละครับ

ปุ่ม2

20.  หยุดเอาเวลามานั่งอธิบายตัวเองให้คนอื่นฟัง

คนที่เขาเข้าใจและแคร์คุณ (และคนที่คุณควรแคร์) เขาไม่ต้องมานั่งฟังคุณอธิบายว่าคุณเป็นอย่างไร เพราะเขาจะเข้าใจคุณตั้งแต่แรกโดยแทบไม่ต้องพูดอะไรสักนิด ในขณะเดียวกัน คนที่เขาเกลียดคุณหรือเป็นศัตรูคุณเขาก็ไม่มานั่งฟังคุณเช่นกัน (คุณอธิบายไปก็เท่านั้นแหละ)

21. หยุดทำอะไรโดยไม่มีหยุดพัก

จริงอยู่ว่าชีวิตมีเวลาจำกัดที่คุณต้องรีบใช้ให้คุ้ม แต่การคุ้มไม่ใช่แปลว่าคุณไม่ได้พักอะไรเลย การพักบ้างอะไรบ้างมันทำให้คุณได้ถอนหายใจ ได้พิจารณาอะไรหลายๆ อย่างระหว่างพัก ลองหาเวลาที่จะหยุดทำอะไรสักพักแล้วให้เวลากับตัวเองในเรื่องอื่นบ้างก็ไม่เสียหายหรอกครับ

22. หยุดมองข้ามความสวยงามเล็กๆ น้อย

การหาความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บ้างมันเป็นเรื่องที่ดีและทำให้คุณเห็นคุณค่าของ “เวลา” และ “ชีวิต” มากกว่าที่คุณคิด คุณอาจจะมีเป้าหมายใหญ่ที่ต้องวิ่งไปข้างหน้าอีกนาน แต่อย่าลืมแวะสนุกกับเรื่องราวริมทางบ้าง มันจะดีมากถ้าคุณสามารถมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นเดียวกับความสุขใหญ่ๆ ที่ปลายทาง

23. หยุดทำให้ทุกอย่างเพอร์เฟค

โลกความจริงมันไม่เหมือนโลกอุดมคติ ไม่มีอะไรที่จะเสร็จสมบูรณ์ไปได้ คนเราย่อมคิดอะไรที่จะแต่งแต้มและเพิ่มให้ดีขึ้นได้อีกเรื่อยๆ การที่เอาแต่บอกว่ามันต้องสมบูรณ์เท่านั้นมันเป็นการตีกรอบให้หลายๆ ทีคุณไม่ได้ทำอะไรเลยสักอย่างเพราะคุณเอาแต่คิดว่า “มันไม่ดีพอ” สักกะที

24. หยุดเดินตามเส้นทางที่เน้นปลอดภัยอย่างเดียว

ใครๆ ก็อยากรู้สึกปลอดภัยอยู่ใน Comfort Zone แต่นั่นก็ทำให้คุณไม่ได้ไปไหนไกล การจะประสบความสำเร็จหรือได้สิง่ที่คุณคู่ควรนั้น ส่วนหนึ่งคือการลองทำสิ่งใหม่ๆ การทำอะไรที่ยากๆ หรือทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม ฉะนั้นแล้ว อย่าเอาแต่เลือกเส้นทางแบบ “รักสบาย”​ ตลอดไป บางครั้งคุณต้องกล้าจะเลือกทางที่จะยากลำบากบ้าง (แล้วมันอาจจะดีเสียกว่าที่คุณเลือกทางสบายๆ เสียอีก)

25. หยุดทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างไม่เป็นไรทั้งที่จริงมันไม่ใช่

การมองโลกในแง่ดีกับการมองโลกโดยไม่อยู่กับความจริงมันเป็นเรื่องที่ฟังดูคล้ายๆ กันแต่ได้ผลคนละเรื่อง คุณไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นคนที่แข็งแกร่ง ไม่กระเทือน ไม่รู้สึกรู้สาตลอดเวลา บางทีคุณก็ต้องปล่อยให้ตัวเองรู้สึกบ้างอะไรบ้าง เดือดร้อนบ้างตามประสามนุษย์ มันทำให้คุณมีโอกาสได้เป็น​ “คน” อย่างที่คุณเป็นอยู่แหละครับ

26. หยุดพยายามเป็นทุกอย่างเพื่อทุกๆ คน

ความคิดเรื่องของการเป็น “คนของประชาชน” ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาอย่างคุณควรจะทำ (เว้นแต่คุณจะพยายามเป็นนักการเมืองน่ะนะ) คุณต้องไม่ลืมว่าคนรอบข้างคุณไม่ได้คิดเหมือนกันทุกคน ยิ่งคุณรู้จักคนเยอะ เกี่ยวข้องกับคนเยอะ มันก็ยิ่งมีความต้องการมากมาย ความคาดหวังที่หลากหลาย แล้วมันคงไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องปรับตัวเองเพื่อให้ตอบสนองทุกๆ อย่าง เพราะสุดท้ายก็จะมีแต่ทำให้ตัวตนของคุณบิดเบี้ยวเสียอีกต่างหาก

27. หยุดโทษคนอื่นสำหรับปัญหาของคุณ

การไม่รับผิดชอบกับชีวิตตัวเอง แต่โยนความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นคือนิสัยของคนที่จะไม่มีวันโตเพราะเขาจะไม่มีวันเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ คนที่จะประสบความสำเร็จคือคนประเภทที่กล้า “รับผิด” และ “รับชอบ” กับตัวเอง ไม่ใช่เอาแต่ “รับชอบ” อย่างเดียว

28. หยุดกังวลเกินไป

การเอาแต่กังวลไปเสียทุกอย่างมีแต่จะทำให้สมองของคุณรวมทั้งความรู้สึกของคุณไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะนำไปสู่ความสุขเลยแถมยังจะฉุดตัวคุณเองในแต่ละวันด้วยซ้ำ เรื่องบางเรื่องคุณอาจจะกังวลได้ แต่เรื่องบางเรื่องมันยังไม่ถึงเวลา หรือไม่ใช่เรื่องที่คุณควรจะกังวล ถามตัวเองให้ดีเวลาที่คุณจะกังวลกับอะไรว่าคุณควรจะกังวลกับมันไหม

29. หยุดคิดถึงแต่สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้น

แทนที่คุณจะเอาสมาธิไปมัวคิดว่าจะเกิดอะไรที่ไม่พึงประสงค์ คุณควรไปนั่งคิดมากกว่าว่าจะทำอะไรให้เกิดสิ่งที่คุณพึงประสงค์ การคิดในแง่บวก (แบบไม่เกินจริง) คือพื้นฐานที่ทำให้คนคิดก้าวไปสู่ความสำเร็จ ฉะนั้นแล้ว เอาพลังและเวลาที่คุณมีไปคิดถึงแต่สิ่งดีๆ ที่คุณอยากทำให้เกิดขึ้นดีกว่าครับ

30. หยุดเฉยชากับโลก

ไม่ว่าโลกมันจะแย่หรือจะดี มันคงจะดีกว่าที่คุณจะรู้สึกดีที่มีชีวิตอยู่และมีวันนี้ (รวมทั้งพรุ่งนี้) มีคนมากมายที่ชีวิตแย่กว่าคุณ (เชื่อเหอะว่ามีจริงๆ) รู้จักยินดีกับสิ่งที่คุณมี พอใจกับความสุขที่คุณได้ในแต่ละวันมันทำให้คุณอยากมีชีวิตต่อไปแทนที่จะมานั่งคิดว่าคุณพลาดอะไรไปบ้าง หรือขาดอะไรไป

ปุ่ม2

AABN

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://www.nuttaputch.com/

หากบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ กดแชร์ เลยครับ

ปลูกอะไร…ก็จะได้อย่างนั้น(บทความน่าอ่าน)

นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งเริ่มแก่ตัวลง และต้องการหาคนมาสืบทอดธุรกิจ
แทนที่เขาจะเลือกผู้อำนวยการ หรือ ลูกของเขา แต่เขาตัดสินใจที่จะทำบางอย่างที่แตกต่างออกไป
เขาเรียกนักบริหารหนุ่มๆในบริษัทของเขามารวมกัน และพูดว่า
“ถึงเวลาที่ฉันจะวางมือและเลือกคนที่จะเป็น CEO คนใหม่แล้วล่ะ” “และฉันก็จะตัดสินใจเลือกคนหนึ่งในพวกคุณนี่แหละ”
พวกหนุ่มต่างรู้สึกช็อค เขาพูดต่ออีกว่า “วันนี้ผมจะให้เมล็ดพืชแก่พวกคุณคนละเมล็ด เป็นเมล็ดพิเศษ คุณต้องดูแลและรดน้ำ
นับจากวันนี้ไปอีก 1 ปี และผมจะตัดสินจากต้นไม้ที่เจริญเติบโตขึ้น ที่พวกคุณนำมาให้ผม คนที่ผมเลือก จะได้เป็น CEO คนต่อไป”
นักบริหารหนุ่มคนหนึ่ง ชื่อ จิม เขาเป็นหนึ่งในหนุ่มๆที่ได้รับการคัดเลือกในวันนั้น เขาได้รับเมล็ด มา 1 เมล็ด
และนำกลับบ้านด้วยความตื่นเต้น เขาบอกภรรยา และช่วยกันเตรียมกระถาง ดิน และปุ๋ย เพื่อเตรียมปลูกต้นไม้
พวกเขาดูแลรดน้ำอย่างดีผ่านไปสามสัปดาห์ พวกนักธุรกิจหนุ่มคนอื่นได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเมล็ดพืชที่เขาได้รับและเริ่มเจริญเติบโต
แต่จิมก็เฝ้าดูทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีต้นอะไรงอกออกมา .. 3 สัปดาห์ผ่านไป .. 4 สัปดาห์ ผ่านไป.. 5 สัปดาห์ ผ่านไป
ก็ยังไม่เห็นอะไรในกระถาง ตอนนี้หนุ่มๆได้พูดถึงต้นไม้กันอีกแล้ว แต่จิมไม่มีอะไรจะพูด เพราะเขาไม่เห็นต้นไม้ของเขา เขาเริ่มรู้สึกว่าล้มเหลว ผ่านไป 6 เดือน
ก็ยังไม่มีอะไรงอกขึ้นมา เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาได้ทำลายเมล็ดนั้นไปซะแล้ว
ทุกๆคนมีต้นไม้ที่เติบโตขึ้น ยกเว้นจิมที่ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เขาก็ยังคงเฝ้าดูแลรดน้ำต่อไป
ผ่านไปครบ 1 ปี ทุกคนก็ได้นำต้นไม้ไปให้ CEOได้ตัดสิน… จิมพูดกับภรรยาว่า “ผมจะไม่เอากระถางเปล่าๆใบนี้ไปแน่”
ภรรยาบอกเขาว่าให้พูดความจริงออกไปว่ามันเป็นยังไง จิมรู้สึกว่าท้องปั่นป่วนไปหมด เป็นวินาทีที่เขารู้สึกอับอายที่สุดในชีวิต
แต่เขาก็คิดว่าภรรยาของเขาพูดถูก ดังนั้นเขาจึงถือกระถางเปล่าๆ เข้าไปในห้องที่ได้นัดหมายกันไว้
เมื่อจิมมาถึง เขาแปลกใจมากว่า ทำไมต้นไม้ของคนอื่นถึงสวยและแข็งแรงกันหมดทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นกระถางของจิม
ส่วนใหญ่ก็จะหัวเราะเยาะ มี 2-3 คนเท่านั้นที่แสดงความเห็นใจ
เมื่อท่านประธานเข้ามาถึง เขาได้ทักทายทุกๆคน จิมได้แต่แอบหลบอยู่ข้างหลังห้อง
“โอ ทำไมต้นไม้ของพวกคุณถึงได้สวยกันเหลือเกิน เอาละ หนึ่งในพวกคนจะได้เลื่อนเป็นCEO กันวันนี้แหละ”
พอท่านประธานเห็นกระถางของจิม ที่อยู่ข้างหลังห้อง เขาก็บอกให้ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินเรียกจิมขึ้นมาข้างหน้า
จิมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าท่านประธานคงคิดว่าเขาล้มเหลว และเขาอาจจะถูกไล่ออก
เมื่อจิมเดินมาหน้าห้อง ท่านประธานก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับต้นไม้ของคุณ” จิมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
แล้วท่านประธานก็บอกให้ทุกคนนั่งลง ยกเว้นจิมท่านมองมาที่จิมและก็ประกาศว่า “CEO คนต่อไปก็คือ……. จิม”
จิมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะต้นไม้ของเขาก็ไม่มี เขาจะได้เป็น CEO ได้อย่างไร และแล้วท่านประธานก็พูดว่า
“เมื่อปีที่แล้ว ผมได้ให้เมล็ดพืชกับพวกคุณทุกคน ให้พวกคุณดูแลรดน้ำมันทุกๆวัน แต่มันเป็นเมล็ดที่ต้มแล้ว ดังนั้น มันจะงอกเป็นต้น
ไม้ได้อย่างไร พวกคุณทุกคนยกเว้นจิม นำต้นไม้ที่สวยงามมาให้ผม นี่ก็แสดงว่าเมื่อพวกคุณพบว่าเมล็ดมันไม่งอก
พวกคุณก็เอาเมล็ดอื่นปลูกแทนน่ะสิ จิมเป็นคนเดียวที่กล้ายอมรับความจริง และนำกระถางเปล่าพร้อมกับเมล็ดที่ผมให้มาให้ผม”
“ ดังนั้น ผมจึงแต่งตั้ง จิม ให้เป็น CEO คนต่อไป”
คติธรรม ที่ได้ …
เมื่อคุณปลูกความซื่อสัตย์ คุณก็จะได้รับความไว้วางใจ
เมื่อคุณปลูกความดี คุณก็จะได้รับมิตรภาพ
เมื่อคุณปลูกความอ่อนน้อมถ่อมตน คุณก็จะได้รับความยิ่งใหญ่
เมื่อคุณปลูกความพากเพียร คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกความพิจารณา คุณก็จะได้รับความละเอียดลออ
เมื่อคุณปลูกความทำงานหนัก คุณก็จะได้รับความสำเร็จ
เมื่อคุณปลูกการให้อภัย คุณก็จะได้รับการคืนดี
ดังนั้น … ตรองดูสักนิดว่าคุณจะปลูกอะไร คุณก็สามารถกำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับได้

ปุ่ม2

AABN

Credit : http://www.kwamru.com/

หากบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆกดแชร์ เลยครับ

10ข้อที่ควรรู้ก่อนเกษียณ แล้วคุณจะมีความสุขเมื่อตอนแก่!!!

A2843850

  • 1. ‘เงินเดือนเสี่ยงสุด’ ..พอเกษียณแล้วไม่มีเงินเดือน แถมเดี๋ยวนี้เงินก้อนหลังเกษียณแทบไม่มี เพราะมันเป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัทต้องตัดเป็นอย่างแรกเมื่อต้องการลดต้นทุนธุรกิจ
  • 2. ‘ยุคนี้อายุเราโคตรยืน’ ..ด้วยการแพทย์ปัจจุบัน คุณจะอยู่กันเป็น 100 ลองคำนวณซิว่า เมื่อไหร่เงินเก็บที่คุณมีจะ ‘สลดเพราะใช้เงินหมดก่อนตาย’
  • 3. ‘ลูกหลานเลี้ยงดูเราไม่ได้’ ไม่ใช่ลูกหลานไม่กตัญญู แต่ตัวมันเองยังเอาตัวไม่รอด จะเอาปัญญาที่ไหนมาดูแลคนเกษียณอย่างเรา ..ภาระคือสิ่งแรกที่คนทิ้งเมื่อเกิดวิกฤต — อย่าทำตัวเราให้เป็นภาระ เพราะวิกฤตเกิดประจำ
  • 4. ‘ไม่รู้จักคำว่า Passive Income’ ..คำนี้สวรรค์ชัดๆ สำหรับคนที่มี ..Passive Income คือ เงินที่ไหลเข้ามาหาเราเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะหยุดทำงาน หรือ แม้กระทั่งป่วย เงินนี้ก็ยังไหลเข้ามา …การสร้าง Passive Income มันเกิดจากการลงทุนแบบซื้อของที่มูลค่าสร้างรายได้แบบไม่ขายสิ่งนั้นชั่วชีวิต เช่น ออมในหุ้น , ออมในอสังหาให้เช่า
  • 5. ‘เงินก้อนที่คุณเก็บ รักษายากที่สุด’ ..จะมีวิกฤตเศรษฐกิจ เกิดขึ้นอีกหลายครั้งหลังเกษียณ ..เศรษฐกิจยุคปัจจุบันผันผวนน่ากลัว และเกิดวิกฤตแรงและเกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ..การที่คนส่วนใหญ่ลงทุนแต่ระยะสั้น หรือ มุ่งแต่เก็บเงินก้อน คุณซวย!! เพราะเงินก้อนรักษายากที่สุด ..ใช่ !! ต้องเงินไหล หรือ Passive Income ต่างหากที่ดูแลเราจนตาย

ปุ่ม2

  • 6. ‘เราไร้ค่าหลังเกษียณ เพราะงานคือการอธิบายตัวตนของเรา’ ..คนเกษียณที่ไม่ได้เตรียมตัว จะจิตตกเจียนตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเองหมดคุณค่า หมดความสำคัญ ..เขาลืมไปว่า งานคือการอธิบายตัวตนของเรา ..เมื่อคุณหยุดอธิบายตัวเอง คนก็จะค่อยๆไม่เห็นคุณ
  • 7. ‘เงินไม่ได้จำเป็น แต่หลังเกษียณโคตรจำเป็น’ ..คนแก่ที่ลูกหลานรายล้อม พลัดกันดูแล เพราะคนแก่คนนี้เตรียมมรดกก้อนใหญ่ไว้ให้ลูกหลาน เช่น พ่อเตรียม Port ออมในหุ้น กับ อสังหาไว้ให้ลูกหลังจากที่พ่อตายนะ ..ยิ่งให้ ยิ่งได้ ใช้ได้เสมอครับ
  • 8. ‘เจ้าของธุรกิจ เขาไม่ต้องเกษียณ’ ..เหมือนไม่แฟร์ที่เราเห็นคนรวย เจ้าของธุรกิจเขาทำงานจนตายไม่มีเกษียณ ..เขาไม่ได้ต้องทำครับ เขาแค่ชอบที่จะทำ ..ที่เขาทำเพราะเขาต้องการอธิบายตัวตนของเขา เพื่อที่คนอื่นจะได้เห็นคุณค่าและให้เกียรติเขาตลอดชีวิต
  • 9. ‘เกษียณแล้วฉันจะสบาย ไม่เป็นความจริง’ ..ใครที่เกษียณแล้วสบาย คือมันสบายตั้งแต่ก่อนเกษียณ ..พวกที่พูดว่าเดี๋ยวเกษียณแล้วจะสบาย ซวยหนักทุกคนครับ
  • 10. ‘ทุกอย่างในโลกนี้ มันก็แค่ประสบการณ์’ ยิ่งคุณแก่คุณก็จะพบว่า ชีวิตมันก็แค่การเดินทาง และทุกอย่างมันก็คือประสบการณ์ ..ความสุขมาก ความทุกข์มาก ล้มเหลวมาก ชนะเยอะ โดนหักหลัง โดนโกง โดนแกล้ง เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก ก็จะเปลี่ยนเป็นแค่ประสบการณ์เหมือนๆ กันหมด

ครั้งนึง พ่อเคยเป็น …

คำแนะนำของผมคือ ‘งานคือการอธิบายตัวตน’ ให้เปลี่ยนงานอดิเรกที่คุณรักให้เป็นเงินตั้งแต่คุณยังมีแรง ..แล้วชีวิตคุณจะ ‘เล่นเป็นเงิน’ ทั้งชีวิต เพราะเราดูแลตัวเองได้ และได้ทำสิ่งที่รักที่อธิบายตัวเราชั่วชีวิต

นั่นแหละ การเดินทาง !!

ปุ่ม2

AABN

credit : ภาววิทย์ กลิ่นประทุม

อาจจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆ กดแชร์ เลย